โรคภูมิแพ้ ส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 100 ล้านคนเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก ปัญหาสุขภาพที่แพร่หลายนี้ เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีปฏิกิริยาไวเกินต่อสารที่ปกติแล้วไม่เป็นอันตราย เช่น ละอองเกสร, อาหาร หรือขนสัตว์
อาการแพ้ เป็นรูปแบบหนึ่งของปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป โดยร่างกายจะระบุอย่างไม่ถูกต้องว่า สารที่ปกติไม่เป็นอันตรายนั้น เป็นภัยคุกคาม และเริ่มสร้างการตอบสนองเพื่อป้องกันตัวเอง ปฏิกิริยานี้ สามารถส่งผลกระทบต่อระบบอวัยวะต่างๆ และทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ผื่นผิวหนัง ที่ไม่รุนแรง ไปจนถึงภาวะที่คุกคามถึงชีวิตอย่างภาวะช็อกจากการแพ้
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ประเภทต่างๆ, สิ่งกระตุ้น และทางเลือกในการรักษา จึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และครอบครัวของพวกเขา ตั้งแต่การวินิจฉัยที่ถูกต้อง, การระบุปัจจัยเสี่ยง ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่ทันสมัย ล้วนเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญ ในการรักษาโรคภูมิแพ้ ให้ประสบความสำเร็จ
ข้อมูลสำคัญ
- โรคภูมิแพ้ เกิดจากปฏิกิริยาที่ผิดพลาดของระบบภูมิคุ้มกัน ต่อสารที่ไม่เป็นอันตราย และสามารถส่งผลกระทบต่อระบบอวัยวะต่างๆ ได้
- สิ่งกระตุ้นที่พบบ่อย ได้แก่ ละอองเกสร, อาหาร, แมลงสัตว์กัดต่อย และยา โดยมีปัจจัยทางพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เข้ามามีอิทธิพลต่อความเสี่ยง
- การวินิจฉัย ทำได้โดยการซักประวัติ และใช้การทดสอบพิเศษ ในขณะที่การรักษา มีตั้งแต่การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ไปจนถึงการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
สารบัญเนื้อหา
- คำจำกัดความ และกลไกของปฏิกิริยาภูมิแพ้
- บทบาทของระบบภูมิคุ้มกัน และแอนติบอดี
- การเกิดภูมิแพ้ : ขั้นตอนการสร้างความไวต่อสาร (Sensitization) และการกระตุ้นให้เกิดอาการ
2. สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย และปัจจัยเสี่ยง
- สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ (Inhalation allergens) : ละอองเกสร, ไรฝุ่น และสัตว์
- สารก่อภูมิแพ้ในอาหาร (Food allergens) : สาเหตุที่พบบ่อย
- สาเหตุอื่นๆ : แมลงสัตว์กัดต่อย, สารก่อภูมิแพ้จากการสัมผัส และสารเคมี
- ปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม
3. อาการ และลักษณะของโรคภูมิแพ้
- อาการทางระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และดวงตา
- ปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดเฉียบพลัน และภาวะแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis)
- อาการเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อน
4. การวินิจฉัย และการรักษาโรคภูมิแพ้
ภูมิแพ้ คืออะไร
ภูมิแพ้ คือ ปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกัน ที่ตอบสนองมากเกินปกติ ต่อสารในสิ่งแวดล้อม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่เป็นอันตราย โดยระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างแอนติบอดี (Antibody) ที่จำเพาะต่อสารนั้นขึ้นมา และเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารดังกล่าวอีกครั้ง ก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ ตามมา
คำจำกัดความ และกลไกของปฏิกิริยาภูมิแพ้
ภูมิแพ้ หมายถึงภาวะไวต่อสิ่งแปลกปลอม ที่ร่างกายได้รับมาภายหลัง ซึ่งเกิดจากกลไกของระบบภูมิคุ้มกัน โดยระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าใจผิดว่า สารที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ละอองเกสร หรืออาหาร เป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ในระหว่างที่เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ จะมีกระบวนการทางชีวเคมีที่ซับซ้อนเกิดขึ้น ร่างกายจะหลั่งสารสื่อกลาง (Messenger substances) หลายชนิดออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการแพ้ที่พบได้ทั่วไป
สาร ฮิสตามีน (Histamine) มีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้ และทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้
- รอยแดงบนผิวหนัง
- อาการบวม
- อาการคัน
- การระคายเคืองของเยื่อบุต่างๆ (เช่น ในจมูก หรือลำคอ)
สาร ลิวโคไตรอีน (Leukotrienes) จะยิ่งกระตุ้นให้การอักเสบรุนแรงขึ้น โดยสารนี้ จะทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง และเพิ่มการผลิตเสมหะ
ความรุนแรงของปฏิกิริยาภูมิแพ้ อาจมีได้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อย ไปจนถึงขั้นที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
บทบาทของระบบภูมิคุ้มกัน และแอนติบอดี
ในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างแอนติบอดีชนิด IgE (IgE-Antibodies) ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ แอนติบอดีเหล่านี้ จะไปเกาะอยู่บนเซลล์แมสต์ (Mast cells) เพื่อเตรียมพร้อมร่างกาย สำหรับการเผชิญหน้ากับสารก่อภูมิแพ้ในอนาคต
โดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกัน จะทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากภัยคุกคามที่แท้จริง เช่น แบคทีเรีย หรือไวรัส แต่ในกรณีของโรคภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกัน กลับตอบสนองไวเกินปกติ ต่อสารในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตราย
เราสามารถตรวจวัดระดับแอนติบอดีชนิด IgE ได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทดสอบภูมิแพ้ทางเลือด การมีค่า IgE สูงบ่งบอกว่าร่างกายถูกกระตุ้นให้ไวต่อสารนั้นๆ แล้ว แต่ยังไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้น จะมีอาการแพ้ทางคลินิกเสมอไป
ข้อควรทราบสำคัญ : ผลทดสอบภูมิแพ้ที่เป็นบวกเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เป็นโรคภูมิแพ้ การวินิจฉัยที่สมบูรณ์จำเป็น ต้องอาศัยทั้งหลักฐานการมีอยู่ของแอนติบอดีที่จำเพาะ ควบคู่ไปกับการปรากฏของอาการที่สอดคล้องกัน
การเกิดภูมิแพ้ : ขั้นตอนการสร้างความไวต่อสาร (Sensitization) และการกระตุ้นให้เกิดอาการ
ภูมิแพ้เกิดขึ้นผ่านกระบวนการสองขั้นตอน ในขั้นแรก คือ การถูกกระตุ้นให้ไวต่อสาร (Sensitization) ซึ่งจะเกิดขึ้น เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้เป็นครั้งแรก โดยจะยังไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมา
ในระหว่างขั้นตอนการสร้างความไวนี้ ระบบภูมิคุ้มกัน จะจดจำสารแปลกปลอม และเริ่มผลิตแอนติบอดีขึ้นมา กระบวนการนี้ อาจใช้เวลาหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์
อาการแพ้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ร่างกายสัมผัสกับสารนั้นซ้ำอีกครั้ง เมื่อนั้นระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นให้ไวรออยู่แล้ว จะตอบสนองในทันที และทำให้เกิดอาการแพ้ที่คุ้นเคยกันดี
พันธุกรรม (Heredity) มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ครอบครัวที่มีประวัติภูมิแพ้ ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมักเกิด ปฏิกิริยาภูมิแพ้ข้ามกลุ่ม (Cross-reactions) ระหว่างสารก่อภูมิแพ้จากขนสัตว์ต่างชนิดกันได้บ่อยครั้ง
ระยะเวลาในการเกิดอาการ จะแตกต่างกันไปตามชนิดของภูมิแพ้ ภูมิแพ้ชนิดเฉียบพลัน (Immediate-type allergies) เช่น แพ้ละอองเกสร หรือพิษแมลง จะแสดงอาการภายในไม่กี่นาที ในขณะที่ภูมิแพ้ชนิดอื่น อาจมีปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้ากว่า
สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย และปัจจัยเสี่ยง
สารก่อภูมิแพ้ส่วนใหญ่ ประกอบด้วยสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ละอองเกสร และไรฝุ่น, สารก่อภูมิแพ้ในอาหาร เช่น ถั่ว และไข่ และสารก่อภูมิแพ้จากการสัมผัส เช่น นิกเกิล ส่วนความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้ จะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยแวดล้อม เช่น มลภาวะทางอากาศ
สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ (Inhalation allergens) : ละอองเกสร, ไรฝุ่น และสัตว์
ละอองเกสร (Pollen) เป็นหนึ่งในสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยที่สุด และเป็นสาเหตุของโรคไข้ละอองฟาง (Heuschnupfen) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ละอองเกสรจากหญ้า (Graminaceae) ซึ่งมักจะแพร่กระจายในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม
ละอองเกสรจากต้นไม้ จะพบได้มากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นเบิร์ช (Birch) เป็นสารก่อภูมิแพ้จากต้นไม้ที่รุนแรงที่สุด ตามมาด้วย ต้นบีช (Beech) และ ต้นเฮเซล (Hazel) ส่วน ต้นไซเปรส (Cypress) เริ่มก่อให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาว
ต้นอาร์เทมิเซีย (Artemisia) หรือบีกฟุต (Beifuss) ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรงในช่วงปลายฤดูร้อน พืชชนิดนี้ ผลิตละอองเกสรที่กระตุ้นอาการแพ้ได้รุนแรงเป็นพิเศษ
ไรฝุ่น (House dust mites) อาศัยอยู่ในที่นอน, หมอน และพรม มูลของมัน มีสารก่อภูมิแพ้ที่รุนแรง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการได้ตลอดทั้งปี
ภูมิแพ้จากสัตว์ (Animal allergies) เกิดจากโปรตีนในสะเก็ดผิวหนัง, น้ำลาย และปัสสาวะของสัตว์ โดยเฉพาะสารก่อภูมิแพ้จากแมว ซึ่งจะคงอยู่ได้นาน และแพร่กระจายในอากาศได้อย่างรวดเร็ว
เชื้อรา (Molds) เจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้น และปล่อยสปอร์ออกมา สารก่อภูมิแพ้ชนิดนี้ มักพบได้ตลอดทั้งปี
สารก่อภูมิแพ้ในอาหาร (Food allergens) : สาเหตุที่พบบ่อย
ถั่วลิสง (Peanuts) และถั่วเปลือกแข็ง (Nuts) เป็นสาเหตุของภูมิแพ้อาหารที่รุนแรงที่สุด การได้รับในปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็อาจกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาที่อันตรายถึงชีวิตได้
สัตว์ทะเลเปลือกแข็ง (Shellfish) เช่น กุ้ง และปู มีสารก่อภูมิแพ้ที่รุนแรง ภูมิแพ้ชนิดนี้ มักจะเริ่มแสดงอาการ เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
ไข่ (Eggs) และนม (Milk) เป็นภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในเด็ก ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมาก จะมีอาการดีขึ้น หรือหายได้เองเมื่อโตขึ้น
ธัญพืช (Grains) เช่น ข้าวสาลี และข้าวบาร์เลย์ (Barley) อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะไม่ทนต่อกลูเตน (Gluten intolerance) ซึ่งปฏิกิริยานี้ จะส่งผลกระทบต่อลำไส้เล็กทั้งหมด
สาเหตุอื่นๆ ที่พบบ่อย ได้แก่ ถั่วเหลือง, ปลา และงา โดยมีอาการตั้งแต่ผื่นผิวหนังไปจนถึงหายใจลำบาก
ปฏิกิริยาข้ามกลุ่ม (Cross-reactions) เกิดขึ้นเมื่อมีโปรตีนที่มีลักษณะคล้ายกัน อยู่ในอาหารต่างชนิดกัน เช่น ผู้ที่แพ้ละอองเกสรจากต้นเบิร์ช มักจะแพ้แอปเปิ้ล หรือถั่วเฮเซลนัทด้วย
สาเหตุอื่นๆ : แมลงสัตว์กัดต่อย, สารก่อภูมิแพ้จากการสัมผัส และสารเคมี
แมลงสัตว์กัดต่อย (Insect stings) จาก ผึ้ง (Bees) และตัวต่อ (Wasps) อาจทำให้เกิดภาวะช็อกจากการแพ้ (Allergic shock) อย่างรุนแรงได้ พิษของแมลงเหล่านี้ ประกอบด้วยเอนไซม์ และโปรตีนที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอย่างรุนแรง
นิกเกิล (Nickel) เป็นสารก่อภูมิแพ้จากการสัมผัสที่พบบ่อยที่สุด พบได้ในเครื่องประดับ, เหรียญ และกระดุม ปฏิกิริยาจะแสดงออกมาในรูปแบบของผื่นแพ้สัมผัส (Contact eczema) ณ บริเวณที่สัมผัส
ยางพารา (Latex) ก่อให้เกิดได้ทั้งภูมิแพ้จากการสัมผัส และภูมิแพ้ในอากาศ บุคลากรทางการแพทย์ มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องสัมผัสกับถุงมือยางบ่อยครั้ง
น้ำหอม (Fragrances) ในเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางผิวหนัง ส่วนฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ในเฟอร์นิเจอร์ อาจทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจ
ยา (Medications) เช่น ยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะเพนิซิลลิน (Penicillin) จัดเป็นหนึ่งในสารก่อภูมิแพ้ที่อันตรายที่สุด ปฏิกิริยาสามารถเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่นาที
สารเคมีในที่ทำงาน มักก่อให้เกิดภูมิแพ้จากการประกอบอาชีพ ช่างทำผมมักมีปฏิกิริยาต่อน้ำยาย้อมผม ส่วนคนทำขนมปังมักแพ้ฝุ่นแป้ง
ปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม
พันธุกรรม (Genetic predisposition) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด หากพ่อแม่ทั้งสองคนเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ด้วยถึง 50-70%
หากพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ชนิดเดียวกัน ความเสี่ยงจะยิ่งสูงขึ้นเป็นพิเศษ หากไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว ความเสี่ยงจะอยู่ที่เพียง 15%
มลภาวะทางอากาศ (Air pollution) ทำให้ภูมิแพ้ที่มีอยู่เดิมรุนแรงขึ้น และส่งเสริมให้เกิดภูมิแพ้ใหม่ ฝุ่นละอองขนาดเล็กจากท่อไอเสียรถยนต์ ทำให้ทางเดินหายใจเปิดรับสารก่อภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น
การสูบบุหรี่ (Smoking) ระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มความเสี่ยงที่ลูกจะเป็นโรคหืดถึง 60% แม้กระทั่งคุณยายที่เคยสูบบุหรี่ ก็ยังส่งผลต่อความเสี่ยงในการเป็นภูมิแพ้ของหลานได้
สุขอนามัยที่มากเกินไป (Excessive hygiene) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เด็กที่เติบโตในฟาร์ม มีโอกาสเป็นภูมิแพ้น้อยกว่าเด็กในเมือง เนื่องจากได้สัมผัสกับแบคทีเรียหลากหลายชนิดมากกว่า
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (Breastfeeding) ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ เด็กที่ได้ดื่มนมแม่นาน 4 เดือน จะมีความเสี่ยงในการเป็นภูมิแพ้ต่ำกว่าทารกที่ไม่ได้ดื่มนมแม่
อาการ และลักษณะของโรคภูมิแพ้
ปฏิกิริยาภูมิแพ้ แสดงอาการได้หลากหลายในระบบอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และดวงตา ซึ่งเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบบ่อยที่สุด อาการมีตั้งแต่ระดับเล็กน้อย ไปจนถึงขั้นรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น ภาวะแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis)
อาการทางระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และดวงตา
อาการทางระบบทางเดินหายใจ มักพบได้บ่อยในกลุ่มผู้ที่แพ้สารที่สูดดมเข้าไป โดยระบบทางเดินหายใจส่วนบน จะตอบสนองด้วยอาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ซึ่งมีอาการจาม คัดจมูก และมีน้ำมูกใสๆ ไหล
ส่วนในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง มักจะพัฒนาไปเป็นโรคหอบหืดจากภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก, หายใจมีเสียงหวีด และไอแห้งๆ โดยอาการเหล่านี้ มักจะแย่ลง เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้น
อาการทางดวงตาประกอบด้วยอาการคัน, ตาแดง และมีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ เยื่อบุตาจะบวม และอาจทำให้รู้สึกแสบร้อน ซึ่งบ่อยครั้งอาการเหล่านี้ มักเกิดขึ้นพร้อมกับอาการทางจมูก
ปฏิกิริยาทางผิวหนัง อาจแสดงออกมาในรูปแบบของผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) ที่มีลักษณะเป็นผิวแดงลอกเป็นขุย หรือเป็นโรคลมพิษ (Urticaria) ที่มีลักษณะเป็นผื่นนูนแดง และคัน ส่วนโรคภูมิแพ้จากการสัมผัส จะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบเฉพาะที่ ในบริเวณที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้
ปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดเฉียบพลัน และภาวะแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis)
ภูมิแพ้ชนิดเฉียบพลัน จะแสดงอาการภายในไม่กี่วินาที ถึงไม่กี่นาที หลังจากสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ปฏิกิริยานี้ มักพบได้บ่อยในการแพ้ละอองเกสร, ขนสัตว์ และอาหาร
ภาวะแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) ถือเป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุด และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยมักจะเริ่มต้นด้วยอาการคันตามผิวหนัง และผื่นลมพิษ ตามมาด้วยอาการหายใจลำบาก และปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต
ภาวะช็อกจากการแพ้ (Anaphylactic Shock) จะทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว และหมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยสาเหตุที่พบบ่อย คือ การถูกแมลงต่อย, อาหารบางชนิด หรือยา
การแพ้อาหารมักทำให้เกิดอาการคลื่นไส้, อาเจียน และท้องร่วง อาการบวมในปาก และลำคออาจขัดขวางการหายใจ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน
อาการเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อน
โรคภูมิแพ้ ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม มักจะพัฒนาไปเป็นโรคเรื้อรัง และส่งผลให้เกิดอาการต่อเนื่องในระยะยาว โรคหอบหืดเรื้อรัง จะทำให้หลอดลมอักเสบอย่างต่อเนื่อง และการทำงานของปอดลดลง
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตลอดปี ที่เกิดจากไรฝุ่น หรือขนสัตว์ จะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง อาการคัดจมูกตลอดเวลา อาจทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับ และสมาธิลดลง
โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) จะมีลักษณะเป็นผื่นอักเสบเรื้อรัง, ผิวลอกเป็นขุย และมีอาการคันอย่างรุนแรง ทำให้ผิวหนังมีความบอบบาง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ได้แก่ การพัฒนาไปเป็นโรคหอบหืดในผู้ที่เดิมทีมีอาการแค่ทางจมูกเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพ้ต่อสารชนิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงขึ้น และการรักษายากขึ้น
การวินิจฉัย และการรักษาโรคภูมิแพ้
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ ทำได้โดยใช้วิธีการทดสอบหลายรูปแบบ เพื่อตรวจหาภาวะที่ร่างกายไวต่อสารก่อภูมิแพ้ ส่วนการรักษานั้นตั้งอยู่บนหลักการสามประการ ได้แก่ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้, การใช้ยาเพื่อรักษาอาการ และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด
วิธี และแบบทดสอบในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้
เมื่อสงสัยว่าอาจเป็นโรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ (Allergist) ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาผิวหนัง (Dermatologists), หู คอ จมูก (ENT specialists), โรคปอด (Pneumologists) หรือกุมารแพทย์ (Pediatricians)
การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยวิธีสะกิด (Prick Test) เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับภูมิแพ้ชนิดเฉียบพลัน โดยจะหยดสารก่อภูมิแพ้ปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวหนังแล้วใช้เข็มสะกิด หากร่างกายมีภาวะไวต่อสารนั้น จะเกิดตุ่มนูนแดงขึ้นภายใน 15-20 นาที
การทดสอบภูมิแพ้ ด้วยการปิดแผ่นทดสอบบนผิวหนัง (Patch Test) ใช้เพื่อตรวจหาภูมิแพ้จากการสัมผัส โดยจะปิดพลาสเตอร์ที่มีสารก่อภูมิแพ้ไว้บนผิวหนังเป็นเวลา 48 ชั่วโมง แล้วจึงประเมินผล
การทดสอบ RAST (RAST Tests) และการตรวจเลือดอื่นๆ เป็นการวัดระดับแอนติบอดีชนิด IgE (IgE-Antibodies) ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ การทดสอบในห้องปฏิบัติการนี้ มีประโยชน์อย่างยิ่ง ในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคผิวหนัง หรือไม่สามารถหยุดยาแก้แพ้ได้
การทดสอบ Prick-by-Prick จะใช้อาหารสดมาเป็นสารทดสอบโดยตรง วิธีนี้ มีประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อสงสัยว่า อาจมีอาการแพ้อาหารต่อสาร ที่ไม่มีชุดทดสอบมาตรฐาน
การทดสอบโดยการกระตุ้น ด้วยสารก่อภูมิแพ้ (Provocation Test) ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ โดยผู้ป่วยจะได้รับสารที่สงสัยว่า เป็นสารก่อภูมิแพ้ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยา และสังเกตอาการ
ทางเลือกในการรักษาด้วยยา
ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของฮิสตามีน และช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการคัน, จาม และน้ำตาไหล ยาต้านฮิสตามีน H1 รุ่นที่สอง (Second-generation H1-antihistamines) ทำให้เกิดอาการง่วงซึมน้อยกว่า
คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่รุนแรง และใช้ในปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่มีอาการหนัก มีให้เลือกใช้ในหลายรูปแบบทั้งยาพ่นจมูก, ยาหยอดตา, ครีม หรือยารับประทาน
ยาพ่นจมูก เพื่อลดอาการคัดจมูก (Decongestants) สามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกได้ในระยะสั้น แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกินหนึ่งสัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการติดยา
ยาต้านลิวโคไตรอีน (Antileukotrienes) ช่วยยับยั้งการทำงานของสารสื่อกลางการอักเสบ และนิยมใช้รักษาโรคหืดจากภูมิแพ้เป็นพิเศษ โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบยารับประทาน
ในกรณีที่เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างรุนแรง ยาสำหรับกรณีฉุกเฉิน เช่น ปากกาฉีดอะดรีนาลีนอัตโนมัติ (Adrenaline autoinjectors) สามารถช่วยชีวิตได้ ผู้ป่วยควรพกยาชนิดนี้ ติดตัวไว้เสมอ
ภูมิคุ้มกันบำบัด และการป้องกัน
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดชนิดจำเพาะ (Specific Immunotherapy) หรือที่เรียกว่า Hyposensitization เป็นการรักษาโรคภูมิแพ้ที่สาเหตุเพียงวิธีเดียว โดยเป็นการค่อยๆ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันคุ้นชินกับสารก่อภูมิแพ้
การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Immunotherapy) เป็นการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ การรักษามักใช้เวลาสามถึงห้าปี และให้ผลสำเร็จในอัตราที่สูง สำหรับผู้ที่แพ้ละอองเกสร และพิษแมลง
การให้วัคซีนภูมิแพ้ชนิดอมใต้ลิ้น (Sublingual Immunotherapy) จะใช้ยาในรูปแบบเม็ด หรือหยดที่ต้องอมไว้ใต้ลิ้น วิธีนี้ มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่แพ้ละอองเกสรหญ้า และไรฝุ่น
การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (Allergen Avoidance) เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ สำหรับผู้ที่แพ้ไรฝุ่น การใช้ผ้าปูที่นอนชนิดพิเศษ และการดูดฝุ่นเป็นประจำจะช่วยได้มาก
มาตรการป้องกันในช่วงวัยเด็กตอนต้น สามารถลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และการให้เด็กสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ อย่างมีการควบคุมมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้

